ธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ( ICT Governance )
ธรรมาภิบาลเทคโนโยลีสารสนเทศคือความรับผิดชอบของคณะกรรมการบริหารและคณะผู้บริหาร
ธรรมาภิบาลนี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมาภิบาลขององค์กร
และประกอบด้วย ความเป็นผู้นำ, โครงสร้างองค์กร และกระบวนการทำงาน
เพื่อให้มั่นใจว่าหน่วยงานไอทีขององค์กร จะสามารถรักษาและดำรงไว้ซึ่ง
กลยุทธ์และเป้าหมายขององค์กร
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การแข่งขันทางธุรกิจ และปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เป็นตัวผลักดันที่สำคัญ ที่ทำให้องค์กรหรือโรงพยาบาลต้องมีการปรับตัวอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่สิ่งที่ผู้บริหารทุกคนต้องการ คือการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและมีภูมิคุ้มกันขององค์กรเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวขององค์กร ผู้บริหารจำเป็นจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในการพัฒนาคุณภาพ การบริหารความเสี่ยง การวางแผนกลยุทธ์ แผนธุรกิจ และแผนการปฎิบัติงาน ตลอดจนการติดตามประเมินผล
โรงพยาบาลหลายแห่งมีการนำเอากรอบแนวทางการพัฒนาคุณภาพมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น TQA ( Thailand Quality Award ), TQM ( Total Quality Management ), HA ( Hospital Accreditation ), Six Sigma แต่เมื่อไปศึกษาถึงเบื้องหลังขององค์กรระดับโลกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพ และเป็นรูปแบบของความเป็นเลิศเหล่านี้ ( Best Practices ) จะพบว่าปัจจัยที่แตกต่างกันระหว่างองค์กรที่ประสบความสำเร็จ กับองค์กรที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือ ระบบสารสนเทศ โดยองค์กรที่ประสบความสำเร็จจะมีโครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศที่มีความยืดหยุ่น และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ( Agile and Responsive IT Infrastructure System ) และมีการนำเอาสารสนเทศไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพในทุกส่วนขององค์กร มีการสังเคราะห์คิดค้นความรู้ใหม่ๆ เพื่อนำไปสร้างโอกาสทางธุรกิจ การค้นหาความต้องการใหม่ๆของลูกค้า การพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า สร้างความประทับใจในสินค้าและบริการ ลดความผิดพลาด การติดตามประเมินความพึงพอใจของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ และเป็นแนวทางในการลดต้นทุนได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ
จะเห็นได้ว่าด้วยศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้การใช้ระบบสารสนเทศขององค์กร ได้ยกระดับจากการใช้ในระดับปฎิบัติงาน มาเป็นการใช้ในระดับกลยุทธ์ มีผลกระทบถึงความสามารถในการแข่งขัน การอยู่รอด และการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร ซึ่งทำให้แนวคิดในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศ ( IT Management ) อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันในหลายองค์กรซึ่งเน้นที่การปฎิบัติงาน ไม่เพียงพอที่จะตอบโจทย์ขององค์กรในระดับกลยุทธ์ได้ เทคโนโลยีสารสนเทศกลายมาเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าอย่างยิ่งขององค์กร เป็นกลไกหลักในการสนับสนุน ( Enabler ) ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขององค์กรในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนระบบและกระบวนการทำงานให้มีความกระชับมากขึ้น ลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนและสับสน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน กำกับควบคุม และการตรวจสอบติดตามประเมินผล เกิดการกระจายอำนาจ ( Empowerment ) และปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นแนวราบมากขึ้น ( Flat Organization ) เพิ่มศักยภาพการทำงานข้ามสายงาน ( Cross Functional Operation ) มีผลกระทบให้เกิดการพัฒนาและปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานในองค์กรแบบก้าวกระโดด ( Business Transformation )
การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกิดอย่างรวดเร็วและรุนแรง รวมถึงการที่ผู้บริหารและหน่วยงานในองค์กรให้ความสำคัญ คาดหวังและเรียกร้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น ทำให้องค์กรจำเป็นต้องมีกลไกในการบริหารและควบคุมระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ มีระบบบริหารความเสี่ยง ( IT Risk Management ) ซึ่งมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ธรรมภิบาลทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ( IT Governance ) กลายมาเป็นส่วนสำคัญ มีบทบาทและผลกระทบอย่างมากในการกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กร ( Corporate Governance )
ด้วยเหตุที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้น บวกกับการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง ไร้พรมแดน ( Globalization ) ถ้าไม่มีการบริหารจัดการที่ดี จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างความต้องการทางธุรกิจ และความสามารถในการตอบสนองของระบบสารสนเทศ มากขึ้นเรื่อยๆ และปัญหานี้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดขององค์กร ดังนั้นองค์กรจำเป็นที่จะต้องมีการออกแบบ วางแผน ตรวจสอบควบคุมคุณภาพและมาตรฐานในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีมาตรการควบคุมความเสี่ยง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการลงทุนในระบบสารสนเทศ จะตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ( Business-IT Alignment ) และสามารถให้ผลตอบแทนในการลงทุน ( Return On Investment ) ได้สูงกว่าคู่แข่งขัน
IT Governance
เป็นกรอบกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการที่ดีทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับสูง และเป็นองค์ประกอบของกระบวนการบริหารในการปฎิบัติตามแผนกลยุทธ์ เพื่อสร้างศักยภาพ และการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร ควบคู่กันไปกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี รวมถึงกระบวนการบริหารความเสี่ยง
การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีสารสนเทศสร้างความเสี่ยงใหม่ๆให้กับองค์กร การสูญเสียโอกาสที่มีผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินการ การปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ หรือประกาศขององค์กรวิชาชีพ เช่นข้อบังคับของแพทยสภา ฯลฯ ( Regulatory Compliance ) ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กร ดังนั้นการผสมผสานความสามารถด้านต่างๆขององค์กรกับศักยภาพของระบบงาน และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศที่ดี จึงเป็นทั้งหน้าที่และความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของทุกองค์กรในปัจจุบัน
IT Governance ทำให้เกิดบูรณาการในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศที่เป็นระบบ มีการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ รวมทั้งขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน ลดความเสี่ยง และเพิ่มศักยภาพในการทำงานขององค์กร ทำให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม ลดต้นทุนในการดำเนินงาน และเพิ่มศักยภาพขององค์กร
Business Strategy
ในปัจจุบันโรงพยาบาลหลายแห่งทั้งในภาคราชการและเอกชน ได้มีการตื่นตัวนำเอา Balanced Score Card มาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร มีการจัดทำแผนที่กลยุทธ์ ( Strategy Map ) การติดตามประเมินผลการดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ขององค์กร รวมถึงการลงทุนในระบบสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Hardware, Software และระบบเครือข่าย อย่างมากมาย มีการให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น ISO หรือ HA การจัดการความรู้ ( Knowledge Management ) แต่เมื่อไปดูที่ผลการดำเนินงานแล้ว จะพบว่าผลการลงทุน หรือผลการดำเนินงาน ไม่ได้ทำให้ผลประกอบการดีขึ้นแต่อย่างใด แม้ว่าการติดตามประเมินผลจะสามารถทำได้บรรลุตาม KPI ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เนื่องจากว่าแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ ไม่ได้ก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่สามารถลดต้นทุนในการดำเนินการ หรือสร้างนวัตกรรมในการให้บริการได้เหนือกว่าคู่แข่งขัน นอกจากนี้เมื่อไปศึกษาดูแผนกลยุทธ์ของคู่แข่งขันแล้ว มักจะพบว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่ประการใด และคู่แข่งขันยังทำได้ดีกว่าเสียอีก
สาเหตุของการไม่ประสบความสำเร็จในการวางแผนกลยุทธ์ขององค์กรก็คือ การที่ไม่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างเหนือชั้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน และเมื่อไปวิเคราะห์เจาะลึกถึงแผนกลยุทธ์ขององค์กรทั้งหมดแล้วจะพบว่ามีส่วนเหมือนกันก็คือ การพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการ การลดต้นทุนในการดำเนินการ การเพิ่มผลกำไรในการดำเนินกิจการ การสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า การพัฒนาศักยภาพขององค์กร และการเพิ่มศักยภาพของบุคคลากร
ในเมื่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กรก็คล้ายๆกัน ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริหารองค์กรต้องตอบโจทย์ในการวางแผนกลยุทธ์ก็คือ เราจะทำให้ดีกว่าและเหนือกว่าคู่แข่งขันได้อย่างไร ดังนั้นแผนกลยุทธ์ขององค์กรจะต้องตอบโจทย์เหล่านี้ให้ได้
การพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการ
เนื่องจากโรงพยาบาลเป็นธุรกิจในการให้บริการทางการแพทย์และส่งเสริมสุขภาพของชุมชน ดังนั้นคุณภาพมาตรฐานในการให้บริการเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่ลูกค้าหรือประชาชนจะคาดหวัง และเรียกร้องจากทางโรงพยาบาล ดังนั้นโจทย์ก็คือ เราจะต้องพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานในการให้บริการอย่างเหนือชั้น เพื่อที่จะสร้างความประทับใจและความมั่นใจให้กับผู้รับบริการ สิ่งที่อยากจะเน้นก็คือ การที่โรงพยาบาลได้รับการรับรองมาตรฐาน HA นั้น ไม่ได้เป็นการสร้างความแตกต่างในมุมมองของผู้บริโภคเลย เป็นเพียง Me Too Strategy เพราะทุกโรงพยาบาลก็ได้รับการรับรองมาตรฐานเหมือนกัน ( แต่ถ้าเราไม่ผ่านการรับรองมาตรฐาน HA ก็จะมีผลในด้านตรงกันข้าม ในด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพราะว่าคนอื่นเขามีตรายี่ห้อ HA รับประกันคุณภาพ )
การลดต้นทุนในการดำเนินการ
การลดต้นทุนในการดำเนินการถือเป็นหัวใจหลักสำคัญของการอยู่รอดทางธุรกิจ ดังนั้นมุมมองและโจทย์ในข้อนี้จึงไม่ใช่อยู่ที่การลดต้นทุนเท่านั้น แต่อยู่ที่ทำอย่างไรจึงจะมีต้นทุนในการให้บริการที่ต่ำที่สุด และคำตอบก็ไม่ใช่อยู่ที่ว่า การพยายามต่อรองราคาซื้อให้ต่ำที่สุด การจ้างพนักงานราคาถูกที่สุด เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แนวทางในการลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพก็คือ เราต้องเปลี่ยนมุมมองในเรื่องต้นทุนใหม่ การที่เราจะลดต้นทุนการจัดซื้อของเราได้ เราต้องไปหาทางลดต้นทุนในระบบห่วงโซ่อุปถัมภ์ ( Supply Chain ) ทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทุนของผู้ผลิตวัตถุดิบ ต้นทุนของผู้ผลิตแปรรูป ต้นทุนในการจัดเก็บ ต้นทุนในการขนส่ง ต้นทุนในการบริหารจัดการของเราเอง นอกจากการลดต้นทุนในการจัดซื้อแล้ว สิ่งที่มักถูกมองข้ามไปก็คือ ต้นทุนในการรับบริการของผู้บริโภค
การเพิ่มผลกำไร
การสร้างผลกำไรถือเป็นตัวชึ้วัดถึงความสามารถของผู้บริหาร และความสำเร็จในการบริหารงาน สิ่งที่เป็นความท้าทายโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเอกชนก็คือ ปัจจุบันการแข่งขันไม่ได้ถูกจำกัดแต่เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น การเจรจาเขตการค้าเสรี ( FTA ) ทำให้เราต้องเปิดประตูให้กับการแข่งขันจากผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ที่มีความพร้อมทั้งในด้านของทุนประกอบการ ประสบการณ์ความเชียวชาญในทางธุรกิจ และความได้เปรียบทางด้านเทคโนโลยีสูง นอกจากนี้ยังต้องมาแข่งกับนโยบายประชานิยม โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งให้ประชาชนทุกคนสามารถรับบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาลต้นสังกัดได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ผู้บริหารต้องเสาะแสวงหาวิธีการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด และเพิ่มยอดขาย และเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ ( แย่งลูกค้าจากผู้ประกอบการรายอื่นนั่นเอง )
การสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้รับบริการ
ลูกค้าเป็นผู้มีอุปการะคุณ เป็นแหล่งที่มาของรายได้ขององค์กร ดังนั้นโจทย์ในข้อนี้จึงไม่ใช่อยู่ที่การสร้างหรือวัดความพึงพอใจเท่านั้น แต่อยู่ที่ระบบการบริหารจัดการที่สามารถสร้างความพึงพอใจ และความประทับใจจนกลับมาใช้บริการซ้ำอีก เป็นลูกค้าที่ซื่อสัตย์และภักดีกับองค์กร และยินดีที่จะบอกต่อและแนะนำประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลให้กับญาติมิตรและเพื่อนฝูง
การพัฒนาศักยภาพขององค์กร
สิ่งที่เป็นหน้าที่อันสำคัญอีกประการหนึ่งของผู้บริหารก็คือ การวางยุทธศาสตร์สำหรับการเจริญเติบโตในอนาคต และการเตรียมความพร้อมขององค์กรที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในอนาคตข้างหน้า ซึ่งโดยปกติแล้วแผนธุรกิจจะมองที่ระยะเวลา 3-5 ปี ดังนั้นโจทย์จึงอยู่ที่ว่าผู้บริหารสามารถคาดการณ์ถึงสภาพการแข่งขันในอนาคตได้ถูกต้องเพียงใด และมีการเตรียมการพัฒนาศักยภาพขององค์กรเพื่อรองกับการเปลี่ยนแปลงและช่วงชิงความได้เปรียบก่อนคู่แข่งขันได้อย่างไร
การเพิ่มศักยภาพของบุคคลากร
ปัจจุบันเป็นยุคของ Knowledge Economy สิ่งที่เป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร ก็คือ Human Asset หรือทรัพยากรบุคคล ไม่ใช่เงินทุนหรือเทคโนโลยีอีกต่อไป เพราะว่าเงินทุนและเทคโนโลยีสามารถเสาะแสวงหามาใช้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ไม่สามารถสร้างความแตกต่างและความเหนือชั้นอย่างได้เปรียบ แต่บุคคลากรที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญประสบการณ์สูง สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน มีความแน่วแน่ในการทุ่มเทพลังกายและใจเพื่อช่วยกันสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จ จะเป็นตัวตัดสินอนาคตและความอยู่รอดขององค์กร เพราะไม่สามารถซื้อหามาได้ง่ายๆ แต่ต้องอาศัยเวลาในการเพาะบ่มความรู้และประสบการณ์ เรียนรู้และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในองค์กร เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องเสาะแสวงหาบุคคลากรที่มีคุณภาพ และศักยภาพสูง เพื่อมาเป็นเสริมทีมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร รวมทั้งต้องมีทั้งศาสตร์และศิลปในการซื้อใจและจูงใจ รักษาบุคคลากรที่มีอยู่ ให้มีความสุขและมีความมุ่งมั่นที่จะทุ่มเทให้กับองค์กรอย่างสุดหัวใจ
การกำหนดแผนกลยุทธ์ทางด้านสารสนเทศสำหรับองค์กร
ข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศก็คือ องค์กรไม่ได้ตระหนักถึงศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศ ขาดบุคคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการประยุกต์เอาเทคโนโลยีมาเพื่อสร้างความได้เปรียบ ซึ่งถ้ามีความเข้าใจและมีการวางแผนการใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมแล้ว จะเป็นตัวชี้ขาดในการแข่งขันและการอยู่รอดขององค์กร เพราะเปรียบเหมือนกับการที่เรามีนักกีฬาที่รู้จักใช้เครื่องทุ่นแรงที่ทันสมัย ไปแข่งกับคู่ต่อสู้ที่ใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลัง ยังไงก็ชนะแน่นอน หัวใจหลักสำคัญของการใช้เทคโนโลยีก็คือ เราต้องเป็นผู้นำในการใช้เทคโนโลยี เพราะจะทำให้เราได้เปรียบ แต่ถ้าเรารอให้ทุกคนรู้จักใช้เทคโนโลยีกันแล้ว เราจะเป็นได้แค่ผู้ตามเท่านั้นเอง ซึ่งในทางการตลาดเราเรียกว่า Me Too หรือ Copy Cat Strategy ไม่มีวันที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำได้เลย
สาเหตุของความล้มเหลวในการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
- แผนธุรกิจไม่ได้เป็นตัวกำหนดแผนแม่บทของเทคโนโลยีสารสนเทศ
- การลงทุนในเทคโนโลยีสารสนเทศ มุ่งเน้นที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากกว่า การตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจ และแผนกลยุทธ์ขององค์กร
- ผู้บริหารไม่ได้เล็งเห็นว่าเทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ขององค์กรได้
- โครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศ ไม่ได้ถูกออกแบบและวางแผนมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง และการสร้างโอกาสและความได้เปรียบทางธุรกิจ
- การกำหนดค่าใช้จ่ายในโครงการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ได้สนับสนุนกลยุทธ์ขององค์กร
- การวางแผนกำหนดงบประมาณขององค์กร ไม่ได้นำส่วนของการวางแผนทางเทคโนโลยีสารสนเทศมาเกี่ยวข้องด้วย
ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในระดับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจนั้น สิ่งที่องค์กรต้องการก็คือการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อก่อให้เกิดความได้เปรียบ สร้างโอกาสและแต้มต่อในการดำเนินการทางธุรกิจ ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริหารควรจะพิจารณาในการลงทุนในระบบสารสนเทศก็คือ
- การสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กร
- การสร้างรูปแบบใหม่ในการดำเนินธุรกิจ
- การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
- การลดต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ
- สร้างแนวทางในการเพิ่มรายได้ หรือเพิ่มวิธีการในการหารายได้ใหม่ๆ
- ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า หรือสามารถเรียนรู้ความต้องการใหม่ๆของลูกค้า
- การพัฒนาการเรียนรู้ของบุคลากร เพื่อรองรับกับการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคต
- การเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานในการให้บริการที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน
- การสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการ และตอบสนองความต้องการของลูกค้า
- การสร้างนวัตกรรม และการลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการ
- สามารถตอบสนองความต้องการ และความคาดหวังของผู้มีผลประโยชน์ร่วมขององค์กร ภายใต้งบประมาณที่ได้รับและระยะเวลาที่กำหนด
- สามารถช่วยให้องค์กรปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องตามฎระเบียบ ข้อบังคับ หรือตามสัญญา
- สามารถช่วยให้องค์กรลดความเสี่ยงที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ในข้อพิจารณาที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น ทุกข้อล้วนแต่เป็นข้อกำหนดที่จำเป็นในการสร้างความได้เปรียบ ผู้บริหารต้องมีการวางแผน ติดตามประเมินผล และนำผลที่ได้กลับไปปรับปรุง เพื่อวางแผนในอนาคตตามวงจรการพัฒนาคุณภาพ ( PDCA ) เพื่อที่จะให้มั่นใจได้ว่า การลงทุนในระบบสารสนเทศขององค์กรจะตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือกว่าคู่แข่ง
ในการที่จะให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ในเชิงกลยุทธ์ขององค์กรแล้ว พื้นฐานที่สำคัญก็คือองค์กรต้องมี โครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ ( Agile and Responsive Information Infrastructure System ) เนื่องจากสภาพแวดล้อม และการแข่งขันทางธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นองค์กรจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็หมายความว่าระบบสารสนเทศต้องมีการปรับเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน และในความเป็นจริงแล้ว เมื่อไปศึกษาการใช้ระบบสารสนเทศในองค์กรระดับโลก จะพบว่าระบบสารสนเทศมีความยืดหยุ่นสูง และเป็นผู้ชี้นำการเปลี่ยนแปลงขององค์กร ระบบสารสนเทศจะเปรียบเหมือนกับระบบเตือนภัยขององค์กร ตรวจจับและติดตามการเปลี่ยนแปลง และติดตามประเมินสภาพแวดล้อม การแข่งขัน ความต้องการของลูกค้า ทำให้องค์กรรู้และคาดการณ์ล่วงหน้าได้ก่อนคู่แข่งขัน
การที่องค์กรจะใช้ประโยชน์จากการลงทุนในระบบสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องอาศัยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
· บุคคลากรที่มีความชำนาญและเชี่ยวชาญ
o การออกแบบและวางแผน
o การบำรุงดูแลรักษาระบบ
o การวิเคราะห์ข้อมูล
o การสังเคราะห์ความรู้
o การนำเอาความรู้ไปใช้ให้เกิดความได้เปรียบ
· โครงสร้างพื้นฐานของระบบคลังข้อมูล ( Information Infrastructure )
o Data Architecture
o Information Architecture
o Application Architecture
การที่องค์กรจะสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจถึง Information Value Chain
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น